วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Passacaglia

ในช่วงปลายยุค Renaissance หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา สืบเนื่องจากการแยกตัวของ Martin Luther คริสตจักรโรมันคาทอลิกที่มีพระสันตปาปาเป็นองค์ประมุขได้เริ่มเสื่อมลง จึงมีการสังคายนาขึ้นครั้งใหญ่ ณ. เมือง Trent ได้มีการจัดตั้งสภาแห่ง Trent ทำหน้าที่ในการสังคายนา ต่อมาสภาแห่ง Trent ได้ออกกฎต่างๆหนึ่งในกฎข้อหนึ่งที่ได้บรรญัติขึ้นคือ ในเพลงสวดห้ามนำเครื่องดนตรีมาใช้เพื่อให้คำสวดได้ยินชัดขึ้น ทำให้นักดนตรีที่เคยเล่นประกอบกับวงขับร้องประสานเสียงหันมาให้ความสำคัญกับการบรรเลงโดยไม่ต้องมีเสียงร้อง เริ่มแรกได้นำเพลงร้องมาบรรเลง ต่อมาจึงเริ่มนำเพลงเต้นรำของท้องถิ่นมาบรรเลง เมื่อเพลงบรรเลงเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น บทเพลงประเภท Variation จึงเริ่มปรากฏในช่วงที่เพลงประเภท Improvisatory หรือการด้นสดกำลังเป็นที่นิยม Variation เองเปรียบเสมือนการด้นบนทำนองหลัก
Variation สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Sectional Variation หรือ การแปรทำนองแบบแบ่งตอน และ Continuous Variation หรือ การแปรทำนองแบบต่อเนื่อง
Continuous Variation นั้นแบ่งออกได้อีก 2 แบบ คือการแปรทำนองเหนือคอร์ด เป็นการแปรทำนองที่มีคอร์ดเป็นหลักโดยคอร์ดชุดหนึ่งโดยที่คอร์ดชุดนี้จะเล่นซ้ำไปซ้ำมามีลักษณะคล้าย Ground Bass เพียงแนว Bass มีอิสระในการดำเนินทำนองกว่า ตัวอย่างบทประพันธ์เพลงที่มีลักษณะนี้คือ Chaconne เช่นบทเพลง Partite sopra Ciaccona ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi หรือ Ciaccona from Partita for violin solo No.2 in D minor BWV 1004 ประพันธ์โดย Johann Sebastian Bach เป็นต้น แบบที่ 2 คือการแปรทำนองเหนือแนวเบส เป็นการแปรทำนองโดยที่มีแนว Bass ที่ค่อนข้างตายตัวโดยที่เดินวนซ้ำไปซ้ำมาเรียกว่า Ground Bass หรือ Basso ostinato ตัวอย่างบทประพันธ์เพลงที่มีลักษณะนี้คือ Passacaglia เช่นบทเพลง Partite sopra Passacagli ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi
Passacaglia เป็นเพลงประเภท Continuous Variation ในรูปแบบเพลงเต้นรำแบบอิตาเลียนและสเปนชนิดหนึ่งที่อยู่ในอัตราจังหวะแบบ 3/4โดยทำนองอยู่บนแนวเบสที่เรียกว่า Ground Bass หรือ Basso ostinato เริ่มปรากฏในช่วงต้นยุคบาโรคเมื่อเพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้นสืบเนื่องมาจากสภาแห่ง Trent ออกกฎห้ามนำเครื่องดนตรีเข้ามาใช้ในเพลงทางศาสนา
Passacaglia ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เริ่มปรากฏขึ้นในลักษณะของ ritornello อยู่ในบริเวณประเทศสเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี แต่เดิมเป็นเพลงพื้นเมืองของสเปน เป็นเพลงสำหรับเครื่องประเภทดีด มีความเป็นไปได้ว่ามาจากคำว่า Paseo ถูกเรียกครั้งแรกโดย Juan Carlos Amat และคำว่า Pasacalle ทั้งสองคำแปลว่า Promenade นอกจากนี้ยังปรากฏในเทคนิกของ Guitar อีกด้วย ต่อมาเริ่มปรากฎการดำเนินของเสียงประสานในลักษณะ I-IV-V-(I) มักจะปรากฏในช่วงเริ่มของเพลงและปรากฏอีกครั้งเมื่ออยู่ช่วงจบของเพลง เรียกว่า Ritornello-Passacaglia อาจอยู่ในโหมด major หรือ minor ก็ได้ ในจังหวะแบบ duple หรือ triple ลักษณะของ Ritornello-Passacaglia ในช่วงแรกปรากฏในอิตาลี ในเพลง Nuova inventione d’intavolatura เป็นเพลงสำหรับ Spanish guitar ประพันธ์โดย Girolamo Montesardo ประพันธ์ที่ Florence ในปี 1606 ต่อมาได้แพร่หลายไปในหมู่นักประพันธ์เพลงสำหรับเครื่อง Guitar โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เช่นบทเพลง Airs de different auteurs, cinquiesme livre ประพันธ์โดย Henri de Bailly ในปี 1614 สำหรับเครื่องดนตรี Frence Lute หรือบทเพลง Metodo mui facilissimo ประพันธ์โดย Luis de Briceno ได้ประพันธ์ขึ้นในปี 1626 ที่ Paris
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการนำมาใช้ในบทเพลงประเภท Variation สำหรับ Guitar, Voice and Continuo, Keyboard instrument และ Continuo –Chamber Group การดำเนินของเสียงประสานในลักษณะ I-IV-V-(I) ยังคงมีอิทธิพลแต่เริ่มมีการพัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะในแนวเบส
ผลงานที่สำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เช่น บทเพลง Aria di passacaglia (1630), Partite sopra Passacagli ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi
การพัฒนาของ Passacaglia นั้นได้พัฒนาควบคู่กับ Continuous Variation อีกประเภทคือ Chaconne มีลักษณะที่คล้ายกัน มีที่มาที่คล้าย แต่มีข้อแตกต่างกันคือ Passacaglia จะสนใจที่แนว Bass ที่ค่อนข้างตายตัว แต่ Chaconne จะสนใจที่คอร์ดมากกว่า แนว Bass มีอิสระกว่า แต่จุดที่เหมือนกันคือ Ground Bass ทั้ง Passacaglia และ Chaconne ถูกเรียกสลับกันโดยนักประพันธ์เพลงรุ่นหลังอันเนื่องมาจากความคล้ายคลึงกันของโครงสร้าง และด้วยความที่มองอย่างผิวเผินแล้วคือมีรูปแบบเดียวกันนั่นเอง อีกเหตุผลสำคัญคือ การให้ความสำคัญของ Chord มากกว่าเสียงประสานแบบแนวนอนในช่วงยุคบาโรคต่อมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น