วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Franz (Ferencz) Liszt (1811-1886)


Franz Liszt เป็นนักประพันธ์เพลง นักเปียโนที่มีฝีมือเป็นเลิศในช่วงยุคโรแมนติก เกิดเมื่อปี 1811 ในบริเวณของ Western Hungary ( ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Austria ) เสียชีวิตเมื่อปี 1886 ได้รับอิทธิพลที่สำคัญในยุคนี้คือกระแสของนักดนตรียอดฝีมือหรือ Virtuoso โดยรับอิทธิพลมาจาก Nicolo Paganini นักไวโอลินที่มีฝีมือเป็นเลิศอันเนื่องมาจากในขณะนั้น Paganini มีชื่อเสียงโด่งดังมากและสภาพสังคมยุโรปในยุคโรแมนติคนิยมชมชอบวีรบุรุษ นอกจากนี้เขายังส่งอิทธิพลต่อดนตรีในยุคนี้อย่างมากโดยเฉพาะ Symphonic Poem ,เทคนิคของเปียโนและ Harmony
Franz Liszt เริ่มเรียนเปียโนกับนักดนตรีในราชสำนัก Esterhazy เพราะบิดาของเขาทำงานในราชสำนัก เมื่ออายุ 6 ขวบ เขาเริ่มแสดงความอัจฉริยะออกมาเมื่อเขาได้ออกแสดงเปียโนครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบในปี 1821 เขาได้ย้ายไปที่ Vienna และได้เรียนกับ Carl Czerny ลูกศิษฐ์ของ Beethoven เรียนทฤษฎีดนตรีและ Counter point กับ Antonio Salieri เมื่ออายุ 11 ปี เขาได้แสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าสาธาณะชน ในปี 1823 เขาย้ายไปที่ Paris และเรียนทฤษฎีดนตรีและการประพันธ์เพลง ในปี1824 เขาได้ไปแสดงที่ London ที่นั่นเขาได้รับการยอมรับจากกษัตริย์ Georg IV และเขาได้มีโอกาสกลับไปอีกครั้ง ในปี 1825 – 1826 จุลอุปรากร ( Operetta) เรื่อง Don Sanche ได้ออกแสดงครั้งแรกที่ Paris ตลอดเวลาที่เขาพำนักอยู่ที่ Paris เขาเป็นได้เพื่อนกับ Berlioz ,Chopin ศิลปินที่สำคัญหลายคนในสมัยนั้น ตลอดเกือบ 20 ปีเขาออกแสดงเปียโนในฐานะนักเปียโนที่มีฝีมืออันยอดเยี่ยมและการเล่นที่ผาดโผนและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม แต่ในปี 1848 เขาได้หันหลังให้กับเวทีแสดงเปียโนแต่หันหน้าเข้าการอำนวยเพลงให้วงดุริยางค์ การประพันธ์เพลง และการสอนดนตรี ในช่วงปี 1848 – 1861 เขาได้เป็นผู้อำนวยการด้านดนตรีที่สำนัก Weimar เป็นสถานที่ที่เขาแสดงผลงานที่สำคัญหลายชิ้น โดยเฉพาะ อุปรากรเรื่อง Lohengrin ของ Richard Wagner ในปี 1850 และผลงานของBerlioz อีกมากมาย และเขายังได้แสดงผลงานของเขาเอง เช่น Faust Symphony และ Dante Symphony ,12 Symphonic Poems และอื่นๆอีกมากมายในช่วงปี 1860 เขาอาศัยอยู่ที่ Villa d’ Este อยู่ในบริเวณกรุง Rome ในปี 1865 เขาเริ่มรับงานพิเศษในกับโบถส์มากขึ้น ตั้งแต่ปี 1869 เขาจึงปรากฏตัวที่ Rome,Weimar ,Budapest ตลอดมา ในช่วง 5 ปีสุดท้ายของชีวิตเขาทุ่มเทให้กับการสอน มีลูกศิษย์ที่สำคัญหลายคนเช่น Ziloty, Lamond ,Rosenthal, Weingartner, Hans von Bulow เป็นต้น
Franz Liszt ถือเป็นนักประพันธ์เพลงที่สำคัญมากคนหนึ่งในยุคโรแมนติก เขาได้ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยเฉพาะเทคนิคของเปียโนมีความยากขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และมีผลงานที่เกี่ยวกับเปียโนมากมาย นอกจากผลงานเปียโนแล้ว เขายังมีผลงานที่เกี่ยวกับวงดุริยางค์อีกมากมาย โดยเฉพาะเพลงประเภท Symphonic Poem อาจถือได้ว่าเขาเป็นผู้ให้กำเนิดบทเพลงประเภทนี้ก็อาจเป็นได้ เขายังมีผลงาน Transcribe อีกมากมาย โดยเขาได้เรียบเรียงจากเพลงสำหรับวงดุริยางค์ให้บรรเลงด้วยเปียโนได้เช่น Symphony ทั้ง 9 บทของ Beethoven บางเพลงเรียบเรียงจากอุปรากรเช่น Rigoletto: paraphase de concert บางเพลงนำมาจาก Lieder นอกจากนี้เขายังเรียบเรียงเพลงเปียโนให้เป็นเพลงสำหรับวงดุริยางค์ด้วยเช่นกันโดยเรียบเรียงเพลงของตัวเองเช่น Mephisto Walz หรือ Mazeppa เป็นต้นบทเพลงที่สำคัญอื่นเช่น
Hungarian Rhapsody for Piano ทั้ง 19 บท Liszt ได้รับอิทธิพลของความเป็นชาตินิยมโดยตั้งใจที่จะนำทำนองแบบ Hungarian ในสำเนียงของ Gypsy มาใช้ในผลงานชิ้นนี้เพื่อแสดงความเป็น Hungarian ของเขา บทเพลงชุดนี้มีความยากมากต้องใช้ฝีมือและเทคนิคขั้นสูงในการบรรเลง
La Campanella เป็นเพลงที่นำมาจาก Violin Concerto in B minor ของ Paganini และ Paganini เองเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงและนักไวโอลินที่อิทธิพลสำคัญของกระแส Virtuoso
Sonata for piano in B minor เป็น Sonata บทเดียวของเขาและเป็นหนึ่งในบทเพลงที่สำคัญมากในวรรณคดีเปียโน โดยเขากำหนดไว้ 4 ท่อนแต่ไม่หยุดพัก ทั้งเพลงมีทำนองหลัก 3-4 ทำนอง
Piano Concerto No.1 in E-flat Major แสดงถึงบรรยากาศทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาด้วยเสียงที่ฟังแล้วขนลุก
Totentanz บทเพลงนี้ได้นำทำนอง Dies Irae จากยุคกลางมาใช้เนื่องจากอิทธิพลของสงครามที่เพิ่งสิ้นสุดลงทำให้ศิลปินหลายคนในช่วงนี้พิศวงกับความตาย ทำนอง Dies Irae Berlioz เคยใช้ใน Symphonie Fantastique ในท่อนสุดท้ายที่บรรยายเกี่ยวกับนรก
Les Prelude เป็น Symphonic Poem ที่สำคัญมากบทหนึ่งของเขา ที่มาของเพลงนี้คือ เขาได้อ่านบทกวีที่ชื่อ Les Prelude ของ Alfonse-Marie de Lamatine ในบทเพลงเขาได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Thematic Transformation เป็นการใช้ทำนองเป็นการปรับทำนองหลักคล้ายกับ Variation แต่มีลักษณะของทำนองเดิมชัดเจนซึ่งต่อไปจะกลายเป็น Leitmotive ของ Wagner ต่อไป เทคนิคนี้อาจได้รับอิทธิพลจากเทคนิค Idee Fixe ของ Berlioz ก็ได้
อิทธิพลในฐานะนักประพันธ์เพลงของ Franz Liszt ส่งต่อให้นักประพันธ์เพลงหลายคนในยุโรปหลายคนในช่วงยุคโรแมนติกไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 มากกว่าความเป็น Virtuoso และเขามักจะค้นหาสิ่งแปลกใหม่โดยตลอด เขาส่งอิทธิพลของการใช้ Harmony ในแบบของเขาคือการใช้ Chromatic Harmony ส่งอิทธิพลนี้ให้ Wagner ต่อไป การที่ให้ความสำคัญกับคู่ octave และ augmented Triad ส่งอิทธิพลต่อให้กับนักประพันธ์เพลงชาวรัสเซียและชาวฝรั่งเศส การใช้ Harmony ของเขาเกือบจะทำลายระบบ Tonal โดยที่เขาใช้ขั้นคู่ augmented และ diminished chords การที่ใช้บันไดเสียง whole-tone scale ที่บ่อยมากคือการเปลี่ยน Key ที่หาความสัมพันธ์ไม่ได้ และบ่อยครั้งที่เขามักจะเล่นทำนองกับลายประสานที่แตกต่างกันโดยที่ไม่คำนึงถึงกฎของ Harmony แต่อย่างใดซึ่งปรากฏในเพลงหลายเพลงเช่น Nuage gris, Unstern, Mephisto Walz เป็นต้น อิทธิพลนี้ได้ส่งต่อไปถึงนักประพันธ์เพลงในช่วงปลายยุคโรแมนติกถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในด้านของ Orchestral music นักประพันธ์เพลงหลายคนเช่น Smetana, Franck, Saint-Sean, Tchaikovsky, Rimsky-Korsakov, Richard Strauss และ Ives นิยมประพันธ์ Symphonic Poem เช่น Symphonic Poem ชุด Ma Vlast ของ Smetana, Sheherazard ของ Rimsky-Korsakov หรือ Also sprach Zaratustra ของ Richard Strauss เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น