วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Alessandro Scarlatti (1660-1725)


Alessandro Scarlatti เกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ที่ Palermo เสียชีวิตเมื่อ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1725 ที่ Naplesเป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ที่มีชื่อเสียงด้านการประพันธ์ Opera ,Oratorio และ Cantata โดยเฉพาะ เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่ให้กำเนิด Chromatic Chord ที่เรียกว่า Neapolitan sixth Chord และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในกลุ่ม Neapolitan school นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่มีความสำคัญในการพัฒนา Opera และ Cantata อีกด้วย
Alessandro Scarlatti เป็นบุตรคนที่สองจากแปดคนของ Pietro Scarlatti เกิดที่ Palermo ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 เมื่อเขาอายุได้ 12 ปี เขาและพี่น้องอีกสองคนได้ย้ายไปอยู่กับญาติที่กรุง Rome แต่ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดสำหรับการเรียนดนตรีในช่วงเริ่มต้น แต่สันนิษฐานว่า เขาอาจเรียนดนตรีก็บิดาของเขาหรือไม่ก็ญาติคนอื่นๆ แต่ที่ปรากฏหลักฐานว่าเขาได้เรียนดนตรีกับ Giacomo Carissimi นักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน และเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงท่พัฒนา Cantata แต่เรียนได้ไม่นาน Carissimi ได้เสียชีวิตในเดือนมกราคม 1674 และมีความเป็นไปได้ว่าเขาได้เข้าในคณะนักร้องประสานเสียงในโรงเรียนและได้มีโอกาสไปร้องในโบสถ์ใหญ่ๆหรือในโรงเรียนสอนศาสนา ขณะที่อยู่ที่ Rome เขาได้มีโอกาสไปชมการแสดงดนตรีที่ผลงานของนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงหลายคนในอิตาลีเช่น Cesti, Stradella, Pasquini, Sartorio เป็นต้น เขาแต่งงานกับ Antonia Anzalone เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1678 มีลูกชายเจ็ดคนและลูกสาวห้าสามคนแต่สุดท้ายแล้วเหลือเพียงห้าคนที่รอดมาได้ มีลูกชายสองคนที่ต่อมากลายเป็นนักประพันธ์เพลงคือ Pietro Filipo Scarlatti และ Giuseppe Domenico Scarlatti โดยเฉพาะ Domenico Scarlatti ต่อมาจะกลายเป็นนักประพันธ์เพลงคนสำคัญคนหนึ่งในช่วง Pre-Classic
ชื่อของ Alessandro Scarlatti ที่ปรากฏในฐานะนักประพันธ์เพลงเริ่มขึ้นเมื่อโบสถ์ Arciconfraternita del Ss Crocifisso ได้ว่าจ้างในเขาประพันธ์ Oratorio ได้แสดงเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ เป็นการแสดงครั้งแรกและครั้งเดียว หนึ่งในผลงานชิ้นแรกของเขาคือ อุปรากรเรื่อง Gli equivoci nel sembiante ได้ประสบความสำเร็จในการแสดง และได้แสดงอีกครั้งที่กรุง Rome ในปี 1679 และในที่อื่นๆอีกหลายที่เช่น Bologna, Naples, Monte Filottrano เป็นต้น หนึ่งในผู้อุปถัมภ์คนที่สำคัญคนแรกๆของ Alessandro Scarlatti คือ Queen Christina แห่ง Sweden ผู้อุปถัมภ์ศิลปะคนสำคัญคนหนึ่ง ในอุปรากรเรื่องที่สองคือ L’honesta negli amori (1680) ได้เอ่ยถึงพระนางในฐานะที่ตนเองเป็น maestro di cappella เขาได้อยู่ในตำแหน่งนี้จนกระทั่งเขาย้ายไปที่ Naplesในปี 1684 นอกจากพระราชินีแห่ง Sweden แล้วยังมีพระคารดินัลอีกสององค์ที่ให้การสนับสนุนและอุปถัมภ์คือ Benedetto Pamphili และ Pietro Ottoboni
เมื่อ Alessandro Scarlatti ย้ายมาที่ Naples ในปี 1684 ตามคำเชิญของ Marquis del Carpio อดีตทูตของสำนักวาติกัน ซึ่งในขณะนี้เป็นอุปราชของ Naples และยังได้เคยชมผลงานของเขาอีกด้วย และขณะนี้เมือง Naples กำลังเป็นเมืองแห่งศิลปะดนตรีและเป็นศูนย์กลางของ Opera เขาจึงอยู่ที่เมืองตลอดมาและได้ผลิตผลงานมากมายไม่เพียงเฉพาะ Opera แต่รวมถึง Oratorio, Serenata, Cantata และอื่นๆอีกมากมาย หนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ Il Pirro e Demetrio ได้นำออกแสดงที่ St. Bartolomeo ในปี 1684 อีก 2-3 ปีต่อมาได้ออก แสดงที่ Rome, Siena, Florence, Milan, Brunswick (ต่อมาคำร้องถูกแปลเป็นภาษาเยอรมัน ) และอาจไปถึงที่ Mantua และ Leipzig ด้วย อุปรากรเรื่องนี้ถูกนำออกแสดงรวมกว่า 60 ครั้งหลายหัวเมืองไปจนถึง London และได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ได้แสดงในประเทศอังกฤษ อุปรากรเรื่องสุดท้ายของเขาคือ La Griselda เรื่องนี้ได้ออกแสดงที่ Capranica เป็นโรงละครที่ Ruspoli ได้สนับสนุนอยู่ ออกแสดงในปี 1721
ในช่วงท้ายของชีวิต (1722-25) เขาได้ประพันธ์ cantata อีก 4 บท Serenata สำหรับพระราชพิธีอภิเษกสมรส และ เพลงชุด Sonata for flute and strings สาเหตุที่เขาได้ลองประพันธ์บทเพลงที่ใช้ flute อาจเนื่องมาจากการพบกันระหว่างตัวเขาและ Johann Joachim Quantz ในปี 1724 ในการชุมนุมกันของนักประพันธ์เพลงก็เป็นได้ เมื่อ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1725 เขาเสียชีวิตลง ร่างของเขาถูกฝังที่ St. Maria di Montesanto โดยที่หินจารึกที่หลุมศพได้จารึกเป็นภาษาละตินไว้ว่า the greatest restorer (renewer) of music of all ageในช่วงที่ Alessandro Scarlatti ยังมีชีวิตอยู่นั้นเขาได้พัฒนาหลายสิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะการใช้ da capo aria เป็น aria ที่มีลักษณะโครงสร้างแบบ ABA กล่าวคือ ทำนอง A แรก และ ทำนอง Aหลังเป็นทำนองเดียวกันแต่คำร้องไม่เหมือนกัน และ ทำนอง B มีทำนองที่ต่างออกไป และ Italian Overture มีลักษณะโครงสร้างหลักคือคือ เร็ว-ช้า-เร็ว เป็น form ที่สำคัญมากต่อ form ของเพลงบรรเลงเช่น concerto sonata ไปจนถึง symphony

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น