วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Franz (Ferencz) Liszt (1811-1886)


Franz Liszt เป็นนักประพันธ์เพลง นักเปียโนที่มีฝีมือเป็นเลิศในช่วงยุคโรแมนติก เกิดเมื่อปี 1811 ในบริเวณของ Western Hungary ( ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Austria ) เสียชีวิตเมื่อปี 1886 ได้รับอิทธิพลที่สำคัญในยุคนี้คือกระแสของนักดนตรียอดฝีมือหรือ Virtuoso โดยรับอิทธิพลมาจาก Nicolo Paganini นักไวโอลินที่มีฝีมือเป็นเลิศอันเนื่องมาจากในขณะนั้น Paganini มีชื่อเสียงโด่งดังมากและสภาพสังคมยุโรปในยุคโรแมนติคนิยมชมชอบวีรบุรุษ นอกจากนี้เขายังส่งอิทธิพลต่อดนตรีในยุคนี้อย่างมากโดยเฉพาะ Symphonic Poem ,เทคนิคของเปียโนและ Harmony
Franz Liszt เริ่มเรียนเปียโนกับนักดนตรีในราชสำนัก Esterhazy เพราะบิดาของเขาทำงานในราชสำนัก เมื่ออายุ 6 ขวบ เขาเริ่มแสดงความอัจฉริยะออกมาเมื่อเขาได้ออกแสดงเปียโนครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบในปี 1821 เขาได้ย้ายไปที่ Vienna และได้เรียนกับ Carl Czerny ลูกศิษฐ์ของ Beethoven เรียนทฤษฎีดนตรีและ Counter point กับ Antonio Salieri เมื่ออายุ 11 ปี เขาได้แสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าสาธาณะชน ในปี 1823 เขาย้ายไปที่ Paris และเรียนทฤษฎีดนตรีและการประพันธ์เพลง ในปี1824 เขาได้ไปแสดงที่ London ที่นั่นเขาได้รับการยอมรับจากกษัตริย์ Georg IV และเขาได้มีโอกาสกลับไปอีกครั้ง ในปี 1825 – 1826 จุลอุปรากร ( Operetta) เรื่อง Don Sanche ได้ออกแสดงครั้งแรกที่ Paris ตลอดเวลาที่เขาพำนักอยู่ที่ Paris เขาเป็นได้เพื่อนกับ Berlioz ,Chopin ศิลปินที่สำคัญหลายคนในสมัยนั้น ตลอดเกือบ 20 ปีเขาออกแสดงเปียโนในฐานะนักเปียโนที่มีฝีมืออันยอดเยี่ยมและการเล่นที่ผาดโผนและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม แต่ในปี 1848 เขาได้หันหลังให้กับเวทีแสดงเปียโนแต่หันหน้าเข้าการอำนวยเพลงให้วงดุริยางค์ การประพันธ์เพลง และการสอนดนตรี ในช่วงปี 1848 – 1861 เขาได้เป็นผู้อำนวยการด้านดนตรีที่สำนัก Weimar เป็นสถานที่ที่เขาแสดงผลงานที่สำคัญหลายชิ้น โดยเฉพาะ อุปรากรเรื่อง Lohengrin ของ Richard Wagner ในปี 1850 และผลงานของBerlioz อีกมากมาย และเขายังได้แสดงผลงานของเขาเอง เช่น Faust Symphony และ Dante Symphony ,12 Symphonic Poems และอื่นๆอีกมากมายในช่วงปี 1860 เขาอาศัยอยู่ที่ Villa d’ Este อยู่ในบริเวณกรุง Rome ในปี 1865 เขาเริ่มรับงานพิเศษในกับโบถส์มากขึ้น ตั้งแต่ปี 1869 เขาจึงปรากฏตัวที่ Rome,Weimar ,Budapest ตลอดมา ในช่วง 5 ปีสุดท้ายของชีวิตเขาทุ่มเทให้กับการสอน มีลูกศิษย์ที่สำคัญหลายคนเช่น Ziloty, Lamond ,Rosenthal, Weingartner, Hans von Bulow เป็นต้น
Franz Liszt ถือเป็นนักประพันธ์เพลงที่สำคัญมากคนหนึ่งในยุคโรแมนติก เขาได้ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยเฉพาะเทคนิคของเปียโนมีความยากขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และมีผลงานที่เกี่ยวกับเปียโนมากมาย นอกจากผลงานเปียโนแล้ว เขายังมีผลงานที่เกี่ยวกับวงดุริยางค์อีกมากมาย โดยเฉพาะเพลงประเภท Symphonic Poem อาจถือได้ว่าเขาเป็นผู้ให้กำเนิดบทเพลงประเภทนี้ก็อาจเป็นได้ เขายังมีผลงาน Transcribe อีกมากมาย โดยเขาได้เรียบเรียงจากเพลงสำหรับวงดุริยางค์ให้บรรเลงด้วยเปียโนได้เช่น Symphony ทั้ง 9 บทของ Beethoven บางเพลงเรียบเรียงจากอุปรากรเช่น Rigoletto: paraphase de concert บางเพลงนำมาจาก Lieder นอกจากนี้เขายังเรียบเรียงเพลงเปียโนให้เป็นเพลงสำหรับวงดุริยางค์ด้วยเช่นกันโดยเรียบเรียงเพลงของตัวเองเช่น Mephisto Walz หรือ Mazeppa เป็นต้นบทเพลงที่สำคัญอื่นเช่น
Hungarian Rhapsody for Piano ทั้ง 19 บท Liszt ได้รับอิทธิพลของความเป็นชาตินิยมโดยตั้งใจที่จะนำทำนองแบบ Hungarian ในสำเนียงของ Gypsy มาใช้ในผลงานชิ้นนี้เพื่อแสดงความเป็น Hungarian ของเขา บทเพลงชุดนี้มีความยากมากต้องใช้ฝีมือและเทคนิคขั้นสูงในการบรรเลง
La Campanella เป็นเพลงที่นำมาจาก Violin Concerto in B minor ของ Paganini และ Paganini เองเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงและนักไวโอลินที่อิทธิพลสำคัญของกระแส Virtuoso
Sonata for piano in B minor เป็น Sonata บทเดียวของเขาและเป็นหนึ่งในบทเพลงที่สำคัญมากในวรรณคดีเปียโน โดยเขากำหนดไว้ 4 ท่อนแต่ไม่หยุดพัก ทั้งเพลงมีทำนองหลัก 3-4 ทำนอง
Piano Concerto No.1 in E-flat Major แสดงถึงบรรยากาศทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาด้วยเสียงที่ฟังแล้วขนลุก
Totentanz บทเพลงนี้ได้นำทำนอง Dies Irae จากยุคกลางมาใช้เนื่องจากอิทธิพลของสงครามที่เพิ่งสิ้นสุดลงทำให้ศิลปินหลายคนในช่วงนี้พิศวงกับความตาย ทำนอง Dies Irae Berlioz เคยใช้ใน Symphonie Fantastique ในท่อนสุดท้ายที่บรรยายเกี่ยวกับนรก
Les Prelude เป็น Symphonic Poem ที่สำคัญมากบทหนึ่งของเขา ที่มาของเพลงนี้คือ เขาได้อ่านบทกวีที่ชื่อ Les Prelude ของ Alfonse-Marie de Lamatine ในบทเพลงเขาได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Thematic Transformation เป็นการใช้ทำนองเป็นการปรับทำนองหลักคล้ายกับ Variation แต่มีลักษณะของทำนองเดิมชัดเจนซึ่งต่อไปจะกลายเป็น Leitmotive ของ Wagner ต่อไป เทคนิคนี้อาจได้รับอิทธิพลจากเทคนิค Idee Fixe ของ Berlioz ก็ได้
อิทธิพลในฐานะนักประพันธ์เพลงของ Franz Liszt ส่งต่อให้นักประพันธ์เพลงหลายคนในยุโรปหลายคนในช่วงยุคโรแมนติกไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 มากกว่าความเป็น Virtuoso และเขามักจะค้นหาสิ่งแปลกใหม่โดยตลอด เขาส่งอิทธิพลของการใช้ Harmony ในแบบของเขาคือการใช้ Chromatic Harmony ส่งอิทธิพลนี้ให้ Wagner ต่อไป การที่ให้ความสำคัญกับคู่ octave และ augmented Triad ส่งอิทธิพลต่อให้กับนักประพันธ์เพลงชาวรัสเซียและชาวฝรั่งเศส การใช้ Harmony ของเขาเกือบจะทำลายระบบ Tonal โดยที่เขาใช้ขั้นคู่ augmented และ diminished chords การที่ใช้บันไดเสียง whole-tone scale ที่บ่อยมากคือการเปลี่ยน Key ที่หาความสัมพันธ์ไม่ได้ และบ่อยครั้งที่เขามักจะเล่นทำนองกับลายประสานที่แตกต่างกันโดยที่ไม่คำนึงถึงกฎของ Harmony แต่อย่างใดซึ่งปรากฏในเพลงหลายเพลงเช่น Nuage gris, Unstern, Mephisto Walz เป็นต้น อิทธิพลนี้ได้ส่งต่อไปถึงนักประพันธ์เพลงในช่วงปลายยุคโรแมนติกถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในด้านของ Orchestral music นักประพันธ์เพลงหลายคนเช่น Smetana, Franck, Saint-Sean, Tchaikovsky, Rimsky-Korsakov, Richard Strauss และ Ives นิยมประพันธ์ Symphonic Poem เช่น Symphonic Poem ชุด Ma Vlast ของ Smetana, Sheherazard ของ Rimsky-Korsakov หรือ Also sprach Zaratustra ของ Richard Strauss เป็นต้น

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Alessandro Scarlatti (1660-1725)


Alessandro Scarlatti เกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ที่ Palermo เสียชีวิตเมื่อ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1725 ที่ Naplesเป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ที่มีชื่อเสียงด้านการประพันธ์ Opera ,Oratorio และ Cantata โดยเฉพาะ เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่ให้กำเนิด Chromatic Chord ที่เรียกว่า Neapolitan sixth Chord และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในกลุ่ม Neapolitan school นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่มีความสำคัญในการพัฒนา Opera และ Cantata อีกด้วย
Alessandro Scarlatti เป็นบุตรคนที่สองจากแปดคนของ Pietro Scarlatti เกิดที่ Palermo ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 เมื่อเขาอายุได้ 12 ปี เขาและพี่น้องอีกสองคนได้ย้ายไปอยู่กับญาติที่กรุง Rome แต่ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดสำหรับการเรียนดนตรีในช่วงเริ่มต้น แต่สันนิษฐานว่า เขาอาจเรียนดนตรีก็บิดาของเขาหรือไม่ก็ญาติคนอื่นๆ แต่ที่ปรากฏหลักฐานว่าเขาได้เรียนดนตรีกับ Giacomo Carissimi นักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน และเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงท่พัฒนา Cantata แต่เรียนได้ไม่นาน Carissimi ได้เสียชีวิตในเดือนมกราคม 1674 และมีความเป็นไปได้ว่าเขาได้เข้าในคณะนักร้องประสานเสียงในโรงเรียนและได้มีโอกาสไปร้องในโบสถ์ใหญ่ๆหรือในโรงเรียนสอนศาสนา ขณะที่อยู่ที่ Rome เขาได้มีโอกาสไปชมการแสดงดนตรีที่ผลงานของนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงหลายคนในอิตาลีเช่น Cesti, Stradella, Pasquini, Sartorio เป็นต้น เขาแต่งงานกับ Antonia Anzalone เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1678 มีลูกชายเจ็ดคนและลูกสาวห้าสามคนแต่สุดท้ายแล้วเหลือเพียงห้าคนที่รอดมาได้ มีลูกชายสองคนที่ต่อมากลายเป็นนักประพันธ์เพลงคือ Pietro Filipo Scarlatti และ Giuseppe Domenico Scarlatti โดยเฉพาะ Domenico Scarlatti ต่อมาจะกลายเป็นนักประพันธ์เพลงคนสำคัญคนหนึ่งในช่วง Pre-Classic
ชื่อของ Alessandro Scarlatti ที่ปรากฏในฐานะนักประพันธ์เพลงเริ่มขึ้นเมื่อโบสถ์ Arciconfraternita del Ss Crocifisso ได้ว่าจ้างในเขาประพันธ์ Oratorio ได้แสดงเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ เป็นการแสดงครั้งแรกและครั้งเดียว หนึ่งในผลงานชิ้นแรกของเขาคือ อุปรากรเรื่อง Gli equivoci nel sembiante ได้ประสบความสำเร็จในการแสดง และได้แสดงอีกครั้งที่กรุง Rome ในปี 1679 และในที่อื่นๆอีกหลายที่เช่น Bologna, Naples, Monte Filottrano เป็นต้น หนึ่งในผู้อุปถัมภ์คนที่สำคัญคนแรกๆของ Alessandro Scarlatti คือ Queen Christina แห่ง Sweden ผู้อุปถัมภ์ศิลปะคนสำคัญคนหนึ่ง ในอุปรากรเรื่องที่สองคือ L’honesta negli amori (1680) ได้เอ่ยถึงพระนางในฐานะที่ตนเองเป็น maestro di cappella เขาได้อยู่ในตำแหน่งนี้จนกระทั่งเขาย้ายไปที่ Naplesในปี 1684 นอกจากพระราชินีแห่ง Sweden แล้วยังมีพระคารดินัลอีกสององค์ที่ให้การสนับสนุนและอุปถัมภ์คือ Benedetto Pamphili และ Pietro Ottoboni
เมื่อ Alessandro Scarlatti ย้ายมาที่ Naples ในปี 1684 ตามคำเชิญของ Marquis del Carpio อดีตทูตของสำนักวาติกัน ซึ่งในขณะนี้เป็นอุปราชของ Naples และยังได้เคยชมผลงานของเขาอีกด้วย และขณะนี้เมือง Naples กำลังเป็นเมืองแห่งศิลปะดนตรีและเป็นศูนย์กลางของ Opera เขาจึงอยู่ที่เมืองตลอดมาและได้ผลิตผลงานมากมายไม่เพียงเฉพาะ Opera แต่รวมถึง Oratorio, Serenata, Cantata และอื่นๆอีกมากมาย หนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ Il Pirro e Demetrio ได้นำออกแสดงที่ St. Bartolomeo ในปี 1684 อีก 2-3 ปีต่อมาได้ออก แสดงที่ Rome, Siena, Florence, Milan, Brunswick (ต่อมาคำร้องถูกแปลเป็นภาษาเยอรมัน ) และอาจไปถึงที่ Mantua และ Leipzig ด้วย อุปรากรเรื่องนี้ถูกนำออกแสดงรวมกว่า 60 ครั้งหลายหัวเมืองไปจนถึง London และได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ได้แสดงในประเทศอังกฤษ อุปรากรเรื่องสุดท้ายของเขาคือ La Griselda เรื่องนี้ได้ออกแสดงที่ Capranica เป็นโรงละครที่ Ruspoli ได้สนับสนุนอยู่ ออกแสดงในปี 1721
ในช่วงท้ายของชีวิต (1722-25) เขาได้ประพันธ์ cantata อีก 4 บท Serenata สำหรับพระราชพิธีอภิเษกสมรส และ เพลงชุด Sonata for flute and strings สาเหตุที่เขาได้ลองประพันธ์บทเพลงที่ใช้ flute อาจเนื่องมาจากการพบกันระหว่างตัวเขาและ Johann Joachim Quantz ในปี 1724 ในการชุมนุมกันของนักประพันธ์เพลงก็เป็นได้ เมื่อ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1725 เขาเสียชีวิตลง ร่างของเขาถูกฝังที่ St. Maria di Montesanto โดยที่หินจารึกที่หลุมศพได้จารึกเป็นภาษาละตินไว้ว่า the greatest restorer (renewer) of music of all ageในช่วงที่ Alessandro Scarlatti ยังมีชีวิตอยู่นั้นเขาได้พัฒนาหลายสิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะการใช้ da capo aria เป็น aria ที่มีลักษณะโครงสร้างแบบ ABA กล่าวคือ ทำนอง A แรก และ ทำนอง Aหลังเป็นทำนองเดียวกันแต่คำร้องไม่เหมือนกัน และ ทำนอง B มีทำนองที่ต่างออกไป และ Italian Overture มีลักษณะโครงสร้างหลักคือคือ เร็ว-ช้า-เร็ว เป็น form ที่สำคัญมากต่อ form ของเพลงบรรเลงเช่น concerto sonata ไปจนถึง symphony

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Passacaglia

ในช่วงปลายยุค Renaissance หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา สืบเนื่องจากการแยกตัวของ Martin Luther คริสตจักรโรมันคาทอลิกที่มีพระสันตปาปาเป็นองค์ประมุขได้เริ่มเสื่อมลง จึงมีการสังคายนาขึ้นครั้งใหญ่ ณ. เมือง Trent ได้มีการจัดตั้งสภาแห่ง Trent ทำหน้าที่ในการสังคายนา ต่อมาสภาแห่ง Trent ได้ออกกฎต่างๆหนึ่งในกฎข้อหนึ่งที่ได้บรรญัติขึ้นคือ ในเพลงสวดห้ามนำเครื่องดนตรีมาใช้เพื่อให้คำสวดได้ยินชัดขึ้น ทำให้นักดนตรีที่เคยเล่นประกอบกับวงขับร้องประสานเสียงหันมาให้ความสำคัญกับการบรรเลงโดยไม่ต้องมีเสียงร้อง เริ่มแรกได้นำเพลงร้องมาบรรเลง ต่อมาจึงเริ่มนำเพลงเต้นรำของท้องถิ่นมาบรรเลง เมื่อเพลงบรรเลงเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น บทเพลงประเภท Variation จึงเริ่มปรากฏในช่วงที่เพลงประเภท Improvisatory หรือการด้นสดกำลังเป็นที่นิยม Variation เองเปรียบเสมือนการด้นบนทำนองหลัก
Variation สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Sectional Variation หรือ การแปรทำนองแบบแบ่งตอน และ Continuous Variation หรือ การแปรทำนองแบบต่อเนื่อง
Continuous Variation นั้นแบ่งออกได้อีก 2 แบบ คือการแปรทำนองเหนือคอร์ด เป็นการแปรทำนองที่มีคอร์ดเป็นหลักโดยคอร์ดชุดหนึ่งโดยที่คอร์ดชุดนี้จะเล่นซ้ำไปซ้ำมามีลักษณะคล้าย Ground Bass เพียงแนว Bass มีอิสระในการดำเนินทำนองกว่า ตัวอย่างบทประพันธ์เพลงที่มีลักษณะนี้คือ Chaconne เช่นบทเพลง Partite sopra Ciaccona ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi หรือ Ciaccona from Partita for violin solo No.2 in D minor BWV 1004 ประพันธ์โดย Johann Sebastian Bach เป็นต้น แบบที่ 2 คือการแปรทำนองเหนือแนวเบส เป็นการแปรทำนองโดยที่มีแนว Bass ที่ค่อนข้างตายตัวโดยที่เดินวนซ้ำไปซ้ำมาเรียกว่า Ground Bass หรือ Basso ostinato ตัวอย่างบทประพันธ์เพลงที่มีลักษณะนี้คือ Passacaglia เช่นบทเพลง Partite sopra Passacagli ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi
Passacaglia เป็นเพลงประเภท Continuous Variation ในรูปแบบเพลงเต้นรำแบบอิตาเลียนและสเปนชนิดหนึ่งที่อยู่ในอัตราจังหวะแบบ 3/4โดยทำนองอยู่บนแนวเบสที่เรียกว่า Ground Bass หรือ Basso ostinato เริ่มปรากฏในช่วงต้นยุคบาโรคเมื่อเพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้นสืบเนื่องมาจากสภาแห่ง Trent ออกกฎห้ามนำเครื่องดนตรีเข้ามาใช้ในเพลงทางศาสนา
Passacaglia ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เริ่มปรากฏขึ้นในลักษณะของ ritornello อยู่ในบริเวณประเทศสเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี แต่เดิมเป็นเพลงพื้นเมืองของสเปน เป็นเพลงสำหรับเครื่องประเภทดีด มีความเป็นไปได้ว่ามาจากคำว่า Paseo ถูกเรียกครั้งแรกโดย Juan Carlos Amat และคำว่า Pasacalle ทั้งสองคำแปลว่า Promenade นอกจากนี้ยังปรากฏในเทคนิกของ Guitar อีกด้วย ต่อมาเริ่มปรากฎการดำเนินของเสียงประสานในลักษณะ I-IV-V-(I) มักจะปรากฏในช่วงเริ่มของเพลงและปรากฏอีกครั้งเมื่ออยู่ช่วงจบของเพลง เรียกว่า Ritornello-Passacaglia อาจอยู่ในโหมด major หรือ minor ก็ได้ ในจังหวะแบบ duple หรือ triple ลักษณะของ Ritornello-Passacaglia ในช่วงแรกปรากฏในอิตาลี ในเพลง Nuova inventione d’intavolatura เป็นเพลงสำหรับ Spanish guitar ประพันธ์โดย Girolamo Montesardo ประพันธ์ที่ Florence ในปี 1606 ต่อมาได้แพร่หลายไปในหมู่นักประพันธ์เพลงสำหรับเครื่อง Guitar โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เช่นบทเพลง Airs de different auteurs, cinquiesme livre ประพันธ์โดย Henri de Bailly ในปี 1614 สำหรับเครื่องดนตรี Frence Lute หรือบทเพลง Metodo mui facilissimo ประพันธ์โดย Luis de Briceno ได้ประพันธ์ขึ้นในปี 1626 ที่ Paris
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการนำมาใช้ในบทเพลงประเภท Variation สำหรับ Guitar, Voice and Continuo, Keyboard instrument และ Continuo –Chamber Group การดำเนินของเสียงประสานในลักษณะ I-IV-V-(I) ยังคงมีอิทธิพลแต่เริ่มมีการพัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะในแนวเบส
ผลงานที่สำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เช่น บทเพลง Aria di passacaglia (1630), Partite sopra Passacagli ประพันธ์โดย Girolamo Frescobaldi
การพัฒนาของ Passacaglia นั้นได้พัฒนาควบคู่กับ Continuous Variation อีกประเภทคือ Chaconne มีลักษณะที่คล้ายกัน มีที่มาที่คล้าย แต่มีข้อแตกต่างกันคือ Passacaglia จะสนใจที่แนว Bass ที่ค่อนข้างตายตัว แต่ Chaconne จะสนใจที่คอร์ดมากกว่า แนว Bass มีอิสระกว่า แต่จุดที่เหมือนกันคือ Ground Bass ทั้ง Passacaglia และ Chaconne ถูกเรียกสลับกันโดยนักประพันธ์เพลงรุ่นหลังอันเนื่องมาจากความคล้ายคลึงกันของโครงสร้าง และด้วยความที่มองอย่างผิวเผินแล้วคือมีรูปแบบเดียวกันนั่นเอง อีกเหตุผลสำคัญคือ การให้ความสำคัญของ Chord มากกว่าเสียงประสานแบบแนวนอนในช่วงยุคบาโรคต่อมา